ทัศนคติและมุมมองที่ดี ที่จะทำให้คุณมีความสุขกับการทำงาน

Puttapong Khemcharoen
2 min readApr 14, 2018

ปี 2018 นี้จะเป็นปีที่ผมใช้ชีวิตในการทำงานครบ 2 ปีเต็ม มันมีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี อาทิเช่น เพื่อนร่วมงาน, เรื่องปากท้อง (เงินเดือน, สวัสดิการ), การตัดสินใจ, ความลำเอียง หรือที่เรารู้จักกันในคำว่า “ลูกรัก” จนผมเกิดความคิดขึ้นมาว่า ปัญหาเหล่าเนี้ยมันมีกันทุกบริษัทแหละ ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอะไรมันไม่ได้ แล้วเราจะอยู่กับมันได้ยังไง ?

ตอน เพื่อนร่วมงาน หรรษา

I do my thing, and you do your thing, getting well together is blessing. -Fritz Perls

ฉันทำงานของฉัน และคุณก็ทำงานของคุณ การที่เราทั้งคู่ได้ดีด้วยกันถือเป็นพร

  • เราทุกคนมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน การดำเนินชีวิตก็แตกต่างกัน เราไม่สามารถเปลี่ยนทุกคนให้เป็นดั่งที่ใจเราหวัง อย่าไปถือโทษว่าเขาทำไม่ดีอย่างนั้น อย่างนู้น อย่างนี้ เพราะสิ่งที่เราเห็นอาจจะเป็นเพียงแค่ ปลายยอดน้ำแข็งที่เขาแสดงออกมาให้เราดู และมันก็ไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรขึ้นกับคุณ หรืองานเลย ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือ เปลี่ยนตัวเอง ทำงานของเราให้ดีที่สุด และ เชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงานให้ได้มากที่สุด เราทุกคนมีข้อดีของตัวเองโดยที่ไม่ต้องเอาจุดเด่นของคนอื่นมา
  • การตีความหมายประโยคไม่ชัดเจน เราทะเลาะกันบ่อยเพราะเราชอบเอาข้อคิดเห็นมาเป็นข้อเท็จจริง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น พ่อบอกว่าข้าวร้านนี้อร่อย พอเราไปกินแล้วไม่อร่อย เราก็จามาเถียงกัน ทั้งๆที่ประโยคที่พ่อบอก มันไม่ใช่ข้อเท็จจริงว่าร้านนั้นอร่อยหรือไม่อร่อย มันเป็นเพียงแค่ข้อคิดเห็นของพ่อ ในการทำงานก็เช่นกันเราจำเป็นต้องแยกแยะประโยคให้ดีว่าอันไหนเป็น ข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง หรือ ข้อสรุป

ตอน เรื่องปากท้อง (เงินเดือน, สวัสดิการ)

ผมพูดได้อย่างเต็มปากว่าที่ทำงานก็เพราะต้องการ “เงิน” และเรื่องปากท้องก็เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆที่ทำให้เกิด การย้ายงาน การลาออก และ การเปลี่ยนทัศนคติของพนักงานที่มีต่อตัวงานและบริษัท ผมมีเทคนิคง่ายๆ นั่นก็คือ

  • คุณไม่จำเป็นต้องรู้เงินเดือนของคนอื่น มันมีแต่จะ บั่นทอนจิตใจของคุณและเปลี่ยนทัศนคติที่ดีของคุณให้เป็นแง่ลบต่อบริษัท
  • หากคุณคาดหวังที่จะได้เงินเดือนเยอะขึ้น คุณควรคิดถึงสิ่งที่คุณทำ และทำมันให้ดีที่สุด แล้วคุณจะได้สิ่งต่างๆจาก ผลงานของคุณเอง
  • ทุกบริษัทคาดหวังประสิทธิภาพของพนักงานตามเงินเดือน หากคุณอยากเงินเดือนเยอะขึ้น ตัวคุณเองเหมาะสมกับเงินเดือนนั้นแค่ไหน ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากคุณอยากเป็นผู้จัดการในอีก 3 ปีข้างหน้า คุณมีความรู้เรื่องการเป็นผู้จัดการมากน้อยแค่ไหน คุณอ่านหนังสือเกี่ยวกับ การจัดการมาแล้วกี่เล่ม ? โอกาส เกิดจาก ความรู้ ทักษะ และการตัดสินใจของคุณ นี่คือคำถามที่คุณต้องถามตัวคุณเอง ว่าคุณทำตัวเองให้พร้อมสำหรับโอกาสที่คุณอยากได้แล้วหรือยัง ?

ตอน การตัดสินใจ

การตัดสินใจเป็นเรื่องยากเสมอ เพราะทุกการตัดสินใจมักมี cost ตามมาเสมอ เราต้องคำนึงถึงผลกระทบ และการรับผิดชอบในการตัดสินใจของเราเอง ในบางครั้งที่เราอาจจะมองว่า หัวหน้าตัดสินใจผิดพลาดหรือเพื่อนร่วมงานตัดสินใจผิดพลาด นั่นเป็นเรื่อง ปกติที่สุด เพราะทุกคนผิดพลาดได้ ไม่มีใครถูกตลอดเวลา ทฤษฏีวิทยาศาสตร์ต่างๆที่ถูกพิสูจน์ว่าถูกเสมอ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปก็มีทฤษฏีใหม่ๆเขามาแทนที่ทฤษฏีเก่า

  • ข้อผิดพลาดคือบทเรียนชั้นเลิศ ผมไม่ได้หมายถึงว่า ให้คุณทำผิดพลาดบ่อยๆ แต่ที่ผมจะสื่อก็คือ คนเรานั้นจะจำข้อผิดพลาดได้ไม่ลืมโดยเฉพาะ ข้อผิดพลาดที่ทำให้เราเจ็บตัว คุณจะไม่มีทางลืม ความรู้ เนื้อหางาน ที่คุณได้จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดแล้วมันทำให้คุณเจ็บตัว นั่นคือวิธีการที่คุณได้เรียนรู้และโตขึ้น จงขอบคุณมัน
  • การรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ ทุกการตัดสินใจมีผลกระทบตามมาเสมอ คุณต้องพร้อม และเผชิญหน้ากับการตัดสินใจของคุณเอง โดยปกติเมื่อเราเจอผลกระทบเราก็มักจะแก้ไขเฉพาะหน้างานไปก่อน (Reactive) แต่จะดีแค่ไหนหากคุณมีแผนสำรองเพื่อไว้รองรับผลกระทบ มันเหมือนกับการวางแผนงานทั่วไปนั่นแหละ เพียงแต่คุณจะต้องมี การคาดการณ์ล่วงหน้า (Predictive), การปฏิตามแผนล่วงหน้าที่คุณวางไว้ (Proactive), และ การป้องกันที่คอยขจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดต่างๆ (Preventitive)

ตอน ความลำเอียง ( ลูกรัก )

Put the right man on the right job at the right time.

ผู้อ่านน่าจะคุ้นตากับคำข้างบนนี้ “ใช้คนให้ถูกกับงานและถูกเวลา” คำสั้นๆที่ความหมายลึกซึ้ง เพียงแต่หลายๆคนมักตีความผิดพลาดไป เช่น นาย A เป็นพนักงานบริษัทมา 20 ปี เชี่ยวชาญด้าน การตลาด อยู่มาวันนึงได้เลื่อนตำแหน่งแต่กับถูกส่งดูแลงานด้านบัญชีของบริษัท เพราะหัวหน้าบอกว่า เรื่องบัญชีเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ และเป็นเรื่องของความเชื่อใจ นาย A เป็นคนที่หัวหน้าเชื่อใจได้มากที่สุดในบริษัท เขาจึงสมควรและเหมาะสมที่สุดที่จะถูกส่งไปดูแลเรื่องการเงิน ปัญหาก็คือ แล้วความสามารถของนาย A หล่ะจะสอดคล้องกับงานที่ได้รับมอบหมายไหม เราสามารถมองเห็นการเลือกคนแบบนี้ได้ในแทบจะทุกสายงาน คนที่เชื่อใจได้ หรือคนที่เก่งในสายตาของหัวหน้า มักจะถูกส่งไปทำงานหลายๆอย่าง โดยไม่คำนึงถึงความสามารถว่าสอดคล้อง หรือเฉพาะทางแค่ไหน

หากคุณเป็นหัวหน้าคุณควรวางตัวให้เหมาะสม

  • เลือกปฏิบัติ ไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อพนักงานคนไหนเป็นพิเศษในบางครั้งคุณอาจจะไม่คิดอะไร เช่น การไปกินข้าว หากคุณไปกินข้าวกับนาย A ทุกวันเพราะเขาทำงานร่วมกับคุณมานาน โดยที่คุณไม่ได้คิดอะไร แต่พนักงานคนอื่นอาจไม่ได้คิดเหมือนคุณ มีแต่จะทำให้คนอื่นมองว่านาย A เป็นลูกรัก
  • ความยุติธรรม ก่อนที่คุณจะตัดสินอะไรเกี่ยวกับลูกน้อง ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว คุณควรจะต้องแยกแยะ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และข้อสรุป ที่ได้ยินออกมาให้ได้ก่อน
  • ตัดสินใจโดยใช้เหตุผล เลือกคนที่ความสามารถเหมาะสมกับเนื้องาน และไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นตัวตัดสินใจ

หากคุณเป็นพนักงาน

  • ความเป็นมืออาชีพ คุณต้องพัฒนาตัวเองให้มีความเป็นมืออาชีพในการทำงาน นั่นหมายถึงคุณต้องมี ความรู้ ทักษะ และ ความมั่นใจในงานที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับโอกาส
  • คิดบวก การที่คุณมีทัศนคติที่ดีตลอดเวลาจะดึงแต่สิ่งดีๆเข้ามาสู่คุณเอง

ตอนสุดท้าย ทัศนคติที่ดี

  1. ปัญหาก่อให้เกิดงาน (Problems) ทุกๆงานที่เราทำมีจุดประสงค์เดียวคือ เพื่อแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง เพราะฉะนั้น หากไม่มีปัญหา ก็ไม่มีงาน ไม่มีงานก็ไม่มีการจ้างงาน ไม่มีงานการจ้างงาน เราก็ตกงาน เย้…………..
  2. Requirements alway changes ปัจจุบันบริษัทส่วนใหญ่หันมาทำงานในระบบ Agile กันมากขึ้น ทำให้แผนงานที่วางไว้เปลี่ยนตลอดเวลาเพื่อให้เหมาะสมและพัฒนางานให้มันดีขึ้น บางครั้งเราทำงานเสร็จแล้วก็เปลี่ยนใหม่ ทำงานยังไม่ทำเสร็จก็เปลี่ยนอีกแล้ว เอ๊ะ…. จะเอายังไงกันแน่ นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องเจอครับ และต้องรับมันให้ได้ คุณต้องทำตัวเองให้เป็นคนกระตือรือร้น (Active) พร้อมสำหรับการทำงาน พึงระลึกไว้เสมอว่า ปัญหาก่อให้เกิดงาน และยังมีอีกหลายคนที่พร้อมจะเข้ามาทำงานในตำแหน่งของคุณและแทนที่คุณ
  3. ความสัมพันธ์ (Relationship) เหตุผลนำไปสู่ข้อสรุป (Reason lead to conclusion) แต่ อารมณ์นำไปสู่การทำงาน (Emotion lead to action) ทุกครั้งที่ประชุมคุณจะได้ข้อสรุป แต่การที่คุณจะให้คนทำงานให้คุณ คุณจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเขา หากคุณเป็นพนักงานขาย คุณต้องทำให้ตัวเองเป็นดั่งครอบครัวของลูกค้า เพราะถ้าหากเมื่อไรก็ตามที่ลูกค้ามีปัญหา เขาจะมองหาคุณเป็นคนแรก และ ปัญหาของลูกค้าคือต้นเหตุให้เกิดงาน เกิดรายได้ ความสัมพันธ์ที่ดีเริ่มต้นจากอะไรง่ายๆ เช่น การสวัสดี การทักทาย การยิ้มให้กัน และการพูดคุยกันทั่วไป รวมถึงการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

เมื่อความสัมพันธ์ดี วิธีการก็พอหากันได้

เมื่อความสัมพันธ์สลาย อะไรๆ ก็ดูไม่ดีไปหมด

4. อีโก้ (Ego)ไม่ใช่สิ่งที่คุณเป็น แต่เป็นสิ่งที่คุณแสดงออกมาเพื่อให้คนอื่นมองคุณยังไง หากคุณทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว แล้วเหล้าจะเทลงไปยังไง…… การหาความสุขจากการทำงานนั้นง่ายมากนัก ลดอคติที่คุณมีต่อคนอื่น ลดอีโก้ของคุณ ให้คนมองคุณเป็นคนที่เข้าถึงได้ ปรึกษาได้ พึ่งพาได้ และเป็นเพื่อนได้

5. อย่าสนใจความคิดลบๆ (To avoid negative thinking) เมื่อคุณทำงาน คุณจะได้รับแรงกดดันทั้งจากตัวเอง เพื่อนร่วมงาน รวมถึงหัวหน้า และในบางครั้งมันทำให้เกิด ความคิดเชิงลบออกมา คุณจะต้องโยนมันทิ้งออกไปให้หมด เพราะมันเป็นความคิดที่มีแต่ข้อเสียที่จะทำร้ายคุณ หากคุณอยู่กับคนที่มีความคิดเชิงลบมากๆ คุณก็จะรู้สึกแย่ตามไปด้วย ผมอยากให้คุณเปลี่ยนมุมมองของตัวเอง และช่วยเหลือให้คนอื่นมีมุมมองใหม่ๆที่ดีขึ้น

6. ให้บางสิ่งกลับคืน (Give back) ผมอยากให้คุณมองดูตัวคุณเองที่กระจก และถามว่าการที่คุณมาอยู่จุดนี้ได้ใครบ้างที่ช่วยคุณ ขอบคุณเขาให้มาก และเรียนรู้จักการให้กลับคืนไปบ้าง มีคนอีกมากมายต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งคุณสามารถทำได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การแชร์ความรู้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเช่นกัน

There are only two ways to live your life. One is as though nothing is a miracle. The other is as though everything is a miracle. — Albert Einstein

- Writing by Puttapong Khemcharoen // 14.04.2018

--

--

Puttapong Khemcharoen

Jobs is a hat that you wear, it does not mentally who you are.